ร้านค้าออนไลน์ ค้าขายบนโลกไซเบอร์ดียังไง ต้องจดทะเบียนไหม อยากขายดีต้องทำยังไง?

เนื้อหาบทความนี้

เรียกได้ว่าธุรกิจการขายของออนไลน์มาแรงอันดับหนึ่งกันเลยในยุคหลัง ๆ นี้ใคร ๆ ก็หันมาเปิดร้านค้าออนไลน์กันเพื่อหาอาชีพเสริมออนไลน์ หรือรายได้เสริม เนื่องด้วยเป็นธุรกิจที่เริ่มต้นง่ายยิ่งบนโลกออนไลน์ด้วยแล้ว ทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเช่าหน้าร้าน ไม่ต้องมีคนเฝ้าหน้าร้าน แถมเปิดได้ตลอด 24 ชั่วโมง ว่าแต่ร้านค้าออนไลน์คืออะไร แล้วถ้าเปิดร้านแล้วจะต้องจดทะเบียนไหม แล้วอยากขายดีต้องทำยังไง เรามาอ่านกันในบทความนี้กันเลย

ร้านค้าออนไลน์คือ

คือการขายสินค้าหรือบริการบนโลกออนไลน์โดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อกันระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ ผ่านร้านค้าออนไลน์ได้แก่บน E-Marketplace, Website และ Soical Media ต่าง ๆ 

ร้านค้าออนไลน์มีอะไรบ้าง

ร้านค้าออนไลน์แบ่งออกเป็นหลายช่องทางได้แก่

E-Marketplace 

แอปพลิเคชันที่เป็นสื่อกลาง หรือเป็นตลาดซื้อขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ หรือ ผ่านแอปพลิเคชันที่มีระบบจัดการสินค้าของผู้ขาย ซึ่งได้แก่ Shopee, Lazada, JD Central

Website 

เป็นอีกหนึ่งร้านค้าออนไลน์ที่สามารถเปิดได้ฟรี ที่มีระบบหลังบ้านให้เข้าไปจัดการวางขายสินค้า ตั้งราคา กำหนดจำนวนสต็อกสินค้าได้เอง เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ตอบโจทย์ให้กับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่สนใจเปิดร้านบนเว็บไซต์ฟรีได้เลย มีอะไรบ้าง Lnwshop.com, weloveshopping.com, tarad.com, makewebeasy.com, KAIDEE. Pantip Market. Page365Store

Social Media 

สื่อสังคมออนไลน์ หรือแพลตฟอร์มดิจิทัลที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร แบ่งปันเรื่องราวผ่านสื่อกลางอย่างอินเทอร์เน็ต โดยปัจจุบัน Soical Media ได้ถูกนำมาใช้ในการทำธุรกิจในการเปิดร้านค้าออนไลน์กันเป็นจำนวนมาก และเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีข้อดีมากมายโดยผู้ให้บริการ Social Media ได้แก่ Facebook, Instagram, TikTok, Youtube, Twistter

การตั้งชื่อร้านค้าออนไลน์

การตั้งชื่อร้านดีก็เป็นมงคลไปกว่าครึ่ง เรียกเงินทองให้ไหลมาเทมาได้เช่นกัน ยิ่งคนที่สายมูเตลูด้วยแล้ว ดังนั้นเรามาดูหลักการตั้งชื่อร้านค้าออนไลน์กันดีกว่า

1.ตั้งชื่อร้านให้มีความหมายเป็นสิริมงคล

ตั้งชื่อร้านให้มีความหมายเป็นสิริมงคล ได้แก่ชื่อร้านที่ประกอบไปด้วยคำว่า ทรัพย์สิน อุดมสมบูรณ์ มงคล เจริญ รุ่งเรือง ร่ำรวย เป็นต้น

2.ตั้งชื่อร้านที่เป็นจุดเด่นของสินค้า

เพื่อให้ลูกค้าเห็นแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าร้านนี้ขายสินค้าอะไรเป็นหลัก สินค้าประเภทไหน บางร้านใช้ชื่อร้านที่เป็นแหล่งที่มาของสินค้า เช่น กางเกงลายช้าง จานตราไก่ กระเป๋า Bao Bao เป็นต้น

3.ตั้งชื่อร้านที่มีคำว่า Shop หรือ Store

คำเหล่านี้ล้วนมีความหมายว่า ร้านค้า เป็นคำที่บ่งบอกว่าชื่อนี้ ร้านนี้ เป็นร้านค้าขายของออนไลน์ แนะนำให้ลองนำชื่อของคุณแล้วใส่คำว่า Shop Store รวมกันได้ เช่น TubTim_Shop, Jenny_Store.

จุดแข็งของร้านค้าออนไลน์

  • ร้านค้าสามารถเปิดขายสินค้าได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด
  • ช่วยทำให้ลูกค้าสามารถเลือกชมสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการแม้ยามค่ำคืน
  • ลูกค้าสามารถสั่งซื้อและโอนเงินเข้ามาได้เอง ทำให้มีรายได้เข้ามาตลอด 
  • ร้านค้าออนไลน์ไม่ต้องมีค่าเช่า 
  • ร้านค้าออนไลน์ไม่ต้องจ้างพนักงานให้เฝ้าหน้าร้าน
  • ร้านค้าออนไลน์สามารถวางขายสินค้าได้ไม่จำกัดพื้นที่ มีระบบหลังร้านคอยซัพพอร์ต

ร้านค้าออนไลน์ต้องจดทะเบียนไหม

โดยทั่วไปร้านค้าออนไลน์จะต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถไปยื่นจดทะเบียนพาณิชย์ร้านค้าออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://ereg.dbd.go.th 

  • ผู้ประกอบการในเขตกรุงเทพ ให้เดินทางไปที่สำนักงานเขตใกล้บ้าน 
  • ผู้ประกอบการในต่างจังหวัด ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนพาณิชย์ได้ที่องค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาล

การจดทะเบียนพาณิชย์ร้านค้าออนไลน์สามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

1. สร้างเว็บไซต์ของธุรกิจ หรือ สร้างเพจเฟซบุ๊ก ชื่อร้านค้าให้เรียบร้อย พร้อมออนไลน์

2. ยื่นขอจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

3. ยื่นเอกสารเพื่อขอใช้เครื่องหมาย DBD Registered

ร้านค้าออนไลน์ อยากขายดี ต้องทำยังไง

1. วางแผนการตลาด

โดยการวิเคราะห์สถานการณ์ วัตถุประสงค์ทางการตลาด การกำหนดตลาดเป้าหมายและวัดขนาดความต้องการซื้อของตลาด การจัดเตรียมแผนการตลาดสำหรับปี แผนรวมกิจกรรมการตลาดของทั้งปีสำหรับธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์หนึ่งอย่าง

2. กำหนดกลุ่มเป้าหมาย 

เป็นใคร เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ อยู่ที่ไหน ประเทศ จังหวัด พื้นที่ มีพฤติกรรมแบบไหน กำลังสนใจเรื่องอะไร สนใจคอนเทนต์แบบไหน 

3. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน 

ตั้งเป้าหมายการขายของออนไลน์ให้ชัดเจนว่าร้านค้าออนไลน์ของคุณจะมีการสั่งซื้อกี่ออเดอร์ต่อวัน มียอดขายต่อเดือน 100,000 บาทต่อเดือน มีคนติดตามเพจเฟซบุ๊ก 10,000 คน มีกำไรจากการขาย 50,000 บาทต่อเดือน 

4. เลือกช่องทางในการโปรโมตสินค้า

การเลือกช่องทางการขายสินค้าจำเป็นต้องเลือกว่าจะขายเฉพาะช่องทางไหน แต่ละช่องมีจุดเด่นแตกต่างกันไป เช่น

  • Social Media – ช่องทางนี้จะเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้สร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ได้อย่างดี เปิดการขายได้สบาย
  • Marketplace – คือช่องทาง Shopee Lazada ช่องทางที่นำสินค้าไปลงขายได้ ซึ่งเป็นช่องทางที่เหล่าขาช้อปเข้ามาค้นหาสินค้ามากมายทำให้ช่องทางนี้มีการขายที่น่าดุดันน่าดู
  • Website – ร้านค้าที่มีเว็บไซต์จะช่วยให้ร้านสามารถเข้าถึงจากกลุ่มลูกค้าที่มาจาก Google Search จะมีคุณภาพมากกว่าเพราะมาจากการค้นหาข้อมูลโดยตรง
  • จ้างนักรีวิวสินค้าและบริการ หรืออินฟลูเอนเซอร์ – บริการใหม่ที่กำลังนิยมโดยการจ้างนักรีวิวสินค้าและบริการหรือที่เราเรียกกันว่าอินฟลูเอนเซอร์ ผู้มีอิทธิพล บุคคลเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อผู้คนที่ได้เห็นการรีวิวจากคนเหล่านี้มาก ไม่ว่าพวกเขาพูดอะไร จะได้รับการเชื่อและฟังในสิ่งที่พวกผู้มีอิทธิพลพูดไปซะทุกเรื่อง ด้วยเหตุนี้เองทำให้อินฟลูเอนเซอร์เป็นอะไรที่เจ้าของแบรนด์มักจะชอบที่จะจ้างพวกเขามารีวิวสินค้าและบริการให้นั่นเอง 

PUNDAI เครื่องมือสำหรับร้านค้าออนไลน์และเหล่าอินฟลูเอนเซอร์

สำหรับร้านค้าออนไลน์ และเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่ต้องการเพิ่มยอดขาย หรือขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นรวมถึงตรงกลุ่มเป้าหมาย เราแนะนำให้ใช้เครื่องมือที่ทรงคุณภาพที่สุดคือ PUNDAI ปันได้ ในการทำการตลาดแบบ Affilaite แปลว่า การตลาดผ่านการเชิญตัวแทนและแบ่งเปอร์เซ็นต์เงินปันค่าคอมมิชชั่น 

PUNDAI  พัฒนาเป็น Web-based App ทำให้เข้าถึงได้ผ่านการแชร์ลิงก์จากโซเชียลมีเดียได้ทุกแฟลตฟอร์ม ซึ่งตอบโจทย์ทุกการขายออนไลน์ที่สามารถเข้าใช้งานได้ผ่านทาง Line Official : @pundaiofficial ตลอด 24 ชั่วโมง

คำถามที่พบบ่อย FAQ

ร้านค้าออนไลน์ยอดนิยมมีอะไรบ้าง

ร้านค้าออนไลน์ที่ยอดนิยมในปัจจุบันที่มีผู้คนช้อปปิ้งมากที่สุดได้แก่ Lazada, Shopee, Shopat24, Central Online, Kaidee, Weloveshopping, PantipMarket, Tarad, MyShop. เป็นต้น

ร้านค้าออนไลน์เสียภาษียังไง

เบื้องต้นร้านค้าออนไลน์หรือผู้ขายของออนไลน์ต้องเข้าใจในเรื่องภาษีออนไลน์ไว้เหมือนกันเพื่อการเสียภาษีได้ถูกต้อง
1. ผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์ทุกคน จะต้องเสียภาษี 
โดยมีกำหนดว่า ถ้ามีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ มีเงินได้สุทธิเกิน 150,000 บาทต่อปี ต้องยื่นแบบภาษีทุกคน
2. ร้านค้าออนไลน์ที่ขายของออนไลน์ รายได้เกิน 60,000 บาทต่อปี
หากร้านค้าออนไลน์รายได้เกิน 60,000 บาทต่อปีจะต้องยื่นแบบเสียภาษีก่อน ส่วนจะเสียภาษีหรือไม่จะต้องดูรายได้สุทธิอีกครั้ง กรณีขายของออนไลน์เงินได้สุทธิเกิน 60,000 บาทต่อปีต้องยื่นแบบภาษี โดยแบ่งเป็น 2 กรณี
กรณียื่นแบบภาษี – บุคคลธรรมดาที่ขายของออนไลน์มีรายได้เกิน 60,000 – 120,000 บาท จะต้องยื่นภาษีเงินได้
กรณีต้องยื่นแบบและต้องเสียภาษี – หากไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลถือว่าเป็นบุคคลธรรมดาที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เงินได้สุทธิ 1-150,000 บาท/ปี ไม่ต้องเสียภาษี
เงินได้สุทธิ 150,001-300,000 บาท/ปี เสียภาษี 5%
เงินได้สุทธิ 300,001-500,000 บาท/ปี เสียภาษี 10%
เงินได้สุทธิ 500,001-750,000 บาท/ปี เสียภาษี 15%
เงินได้สุทธิ 750,001-1,000,000 บาท/ปี เสียภาษี 20%
เงินได้สุทธิ 1,000,001-2,000,000 บาท/ปี เสียภาษี 25%
เงินได้สุทธิ 2,000,001-5,000,000 บาท/ปี เสียภาษี 30%
เงินได้สุทธิ 5,000,001 ขึ้นไป เสียภาษี 35% ของรายได้

ร้านค้าออนไลน์ยื่นภาษีแบบไหน

ร้านค้าออนไลน์ หรือธุรกิจออนไลน์จะต้องเสียภาษีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ ภาษีเงินได้ และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยภาษีเงินได้จะเสียตามรูปแบบของธุรกิจแบบบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลที่จดทะเบียนเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน หากบุคคลธรรมดาจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

ADD LINE เพื่อเริ่มใช้ PUNDAI

คุณก็สามารถใช้ PUNDAI โดยไม่มีอะไรซับซ้อน ด้วยการแอดไลน์และเริ่มใช้งานได้ทันที หรือกด เรียนรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับบทบาทของผู้ใช้งาน เพื่อศึกษาบทบาทของเรา